วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วุ้นลำไย

                                  วุ้นลำไย






ส่วนผสม
   ลำไยแคะเมล็ดออก 20 ผล
   วุ้นผง 1/2 ช้อนโต๊ะ
   น้ำเปล่า 1 ½  ถ้วยตวง
   น้ำตาลทราย ¾ ถ้วยตวง
   สีชมพู เขียว เหลือง
   วานิลลา 1 ช้อนชา

วิธีทำวุ้นลำไย
   1.เคี่ยววุ้นกับน้ำเปล่าจนละลาย จึงเติมน้ำตาลทราย เคี่ยวจนละลายดี ยกลง เติมวานิลลาคนให้เข้ากัน
   2.แบ่งวุ้นผสมสีชมพู เขียว เหลือง  ตักใส่ในผลลำไยจนเต็ม ทำจนหมดวุ้น
   3.นำวุ้นแช่เย็น จัดเสิร์ฟขณะเย็นจัด หรือจะนำวุ้นลำไย เสิร์ฟพร้อมน้ำเชื่อมและน้ำแข็ง

ที่มา
 http://thaijelly.blogspot.com/2012/11/blog-post.html  

  บลูเบอร์รี่ชีสพาย


                                                     บลูเบอร์รี่ชีสพาย 






ส่วนผสม "บลูเบอร์รี่ชีสพาย" (สูตรนี้ทำได้ 2  ถาด)

            1. ขนมปังกรอบ  1 ห่อ

            2. เนยสดละลาย 250 กรัม

            3. ฟิลาเดลเฟีย ครีมชีส 1 ก้อน

            4. ครีมข้น  1 กระป๋อง

            5. นมข้นหวาน  1/4 กระป๋อง (หรือเติมตามชอบ)

            6. นมข้นจืด  2 ช้อนโต๊ะ

            7. เจลาตินผง 1 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำร้อนนิดหน่อย

            8. น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ

            9. ถาดฟรอยกลมแบบมีฝาปิดขนาด 9 นิ้ว  

            10. บลูเบอร์รี่ Wilderness 1 กระป๋อง

 วิธีทำ "บลูเบอร์รี่ชีสพาย" 

            1. บดแครกเกอร์ไม่ต้องละเอียดมาก
            2. ละลายเนยสดในไมโครเวฟ
            3. นำเนยที่ละลายแล้ว ค่อย ๆ เทใส่ในปังกรอบบดจนส่วนผสมเกาะกัน ถ้ายังไม่เกาะละลายเนย               เพิ่มได้
            4. กรุใส่พิมพ์กดให้แน่น ๆ
            5 .นำไปแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ช่องฟรีซ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที (หรือถ้าใครมีเตาอบ ให้นำไปอบใน                     อุณหภูมิ 350 องศาฟาเรนไฮ ประมาณ 15 นาที) 
            6. จากนั้นเป็นวิธีทำครีมชีส ก่อนจะตีครีมชีสให้ละลายผงเจลาตินแล้วพักไว้ 
            7. นำครีมชีสออกมาตีให้เนียน ถ้าไม่มีเครื่องตีใช้ตะกร้อมือก็ได้ 
            8. ใส่ครีมข้นลงไป
            9. ใส่นมข้นหวาน น้ำมะนาว นมข้นจืด และเจลาตินละลายลงไปตีจนเข้ากันดี
            10.เทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้แล้วนำเข้าตู้เย็นรอจนครีมชีสเซ็ทตัวไม่เละ (ประมาณเยลลี่นุ่ม ๆ ) ก็ตัด               ทานได้เลย เวลาจะทานตัดแล้วค่อยราดบลูเบอรี่ทีหลังจะดีกว่า  

ที่มา
     http://women.kapook.com/view40351.html

คุกกี้


                                                                       คุกกี้





ส่วนผสมคุกกี้
•เนย 225 กรัม
•น้ำตาลทรายป่น 110 กรัม
•แป้งสาลีอเนกประสงค์ 275 กรัม
• เพิ่มส่วนผสมอื่น ๆ ที่ต้องการตามใจชอบอีกประมาณ 1-3 ช้อนชา (เช่น ขิง อบเชย พริกไทยป่น ผิวเลมอนขูด มิลค์ช็อกโกแลต เป็นต้น)

วิธีทำคุกกี้
1. ตั้งอุณหภูมิเตาอบไว้ที่ 170 องศาเซลเซียส หรือ 375 องศาฟาเรนไฮต์
2. ตีเนยในถ้วยขนาดใหญ่จนนุ่ม (อาจตีด้วยมือหรือด้วยเครื่องตีก็ได้) จากนั้นเติมน้ำตาลและตีผสมกันกับเนยจนส่วนผสมเข้ากัน
3. เติมแป้งสาลีอเนกประสงค์ลงไปในเนยและน้ำตาลที่ตีเข้ากันไว้แล้ว จากนั้นเติมส่วนผสมอื่น ๆ และนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนเป็นก้อนแป้ง
4. ใช้มือปั้นก้อนแป้งเป็นก้อน ๆ แต่ละก้อนให้มีขนาดประมาณมะนาวลูกเล็ก ๆ แล้ววางก้อนแป้งแต่ละก้อนลงบนถาด ให้มีระยะห่างกันเล็กน้อย จากนั้นใช้ด้านหลังของส้อมดันแป้งแต่ละก้อนให้แบนราบกับถาด และอบในเตาอบประมาณ 15 นาที จนเป็นสีน้ำตาลทอง
5. ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจนคุกกี้เย็นขึ้น แล้วเสิร์ฟทานได้

ที่มา
http://th.theasianparent.com/วิธีทำ-5-คุกกี้น่ารักๆ-แบบง่ายๆ/

เครปเค้ก



                                                               เครปเค้ก




ส่วนผสม

          1. แป้งเค้ก 200 กรัม

           2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา

           3. ไข่ไก่เบอร์ 0 6 ฟอง
     
           4. นมสด 250 กรัม

          5. วิปครีม 200 กรัม หรือใช้นมข้นจืดแทนได้คะ

          6. น้ำเปล่า 300 กรัม

          7. น้ำตาลทราย 100 กรัม

          8. น้ำมันพืช 80 กรัม

          9. เกลือ 1/2 ช้อนชา

          10. กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา

          11. เหล้ารัม 1 ช้อนชา


วิธีทำวิปครีม

วิธีทำ

         1. นำส่วนผสมมาชั่ง และตวงตามสูตรเสร็จแล้วนำมาผสมกันในโถ  หรือใครจะใช้เครื่องปั่น นำมาปั่นเอาก็ได้ ปั่นจนแป้งไม่เป็นเม็ดก็พอ จากนั้นนำส่วนผสมแช่เย็นไว้ 2 ชม. หรือข้ามคืนไปเลยก็ได้ อย่าลืมช้อนฟองออกก่อน ( ** แป้งเครปที่ผสมแล้ว สามารถเก็บได้ถึง 48 ชม. )
        2. พักแป้งเครปไว้ในตู้เย็นเสร็จแล้ว ก็มาทำซอสราสเบอร์รี่สำหรับราดบนเครปเค้กกัน โดยใส่ราสเบอร์รี่ลงในหม้อ ใช้ช้อนยี ๆ ให้เละสักเล็กน้อย ตามด้วยน้ำตาลทราย คลุก ๆ ส่วนผสมให้พอเข้ากัน
        3. พักแป้งเครปไว้ในตู้เย็นเสร็จแล้ว ก็มาทำซอสราสเบอร์รี่สำหรับราดบนเครปเค้กโดยใส่ราสเบอร์รี่ลงในหม้อ ใช้ช้อนยี ๆ ให้เละสักเล็กน้อย ตามด้วยน้ำตาลทราย คลุก ๆ ส่วนผสมให้พอเข้ากัน
        4. เสร็จแล้วนำเอาไปปั่นให้ละเอียดอีกรอบ แล้วกรองเอากากออกมาอีกทีจะได้ซอสราสเบอร์รี่เนื้อเนียน ๆ รสชาติเปรี้ยวหวาน
       5. พอทำซอสราสเบอร์รี่เสร็จแล้ว นำแป้งเครปที่พักไว้มาลุยต่อกันเลย ก่อนอื่นต้องเตรียมอุปกรณ์ก่อน จะใช้กระทะเทฟล่อน ที่มีหูสองข้าง จะได้สะดวกต่อการร่อนแป้งให้ทั่ว แล้วใช้พายซิลิโคนทนไฟสองอันสำหรับพลิกแป้ง
       6. ตักแป้งใส่ถ้วยตวงในปริมาณ ขนาด 1/4 แล้วนำแป้งไปหยอดลงในกระทะ หยอดตรงกลางกระทะ ร่อนให้ทั่วกระทะ คอยดูแป้งไม่ให้หนา หรือบางมากเกินไป
       7. ทิ้งพักไว้สัก 2-3 นาที จากนั้นใช้พายซิลิโคนแซะขอบรอบ ๆ แล้วพลิกแป้ง แต่ระวังอย่าให้แป้งขาด เสร็จแล้วนำไปพักที่ตะแกรง แล้วก็ทอดชั้นต่อไปเลย จนครบ 20 แผ่น หรือตามแต่ความชอบ
        8. เมื่อทำเครปเค้กเสร็จแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนวิธีทำวิปปิ้งครีม เตรียมวิปปิ้งครีม 4 ถ้วยตวง และน้ำตาลไอซิ่ง 4-5 ช้อนโต๊ะ ตีรวมกันจนฟู ๆ ขึ้นยอด
        9. ต่อไปเป็นขั้นตอนประกอบร่างเครปเค้กกัน นำครีมแปะจุดไว้ที่ฐานก่อน กันแป้งเลื่อน จากนั้นก็นำแป้งมากันมาทาครีมที่ละแผ่น วางซ้อนกันสลับไปมาจนครบ แต่อย่าทาครีมหนาเกินไปมันจะทำให้เลี่ยนได้ พอวางเสร็จจนครบชั้นแล้ว ก็ใช้สปาตูล่าตบ จากด้านบน และเก็บขอบด้านข้างให้เรียบร้อย เมื่อได้เครปเค้กแล้วก็นำไปแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง                                                                                      
ที่มา  http://women.kapook.com/view33780.html

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มาการอง

                                            มาการอง รสชาเขียว


ส่วนผสมฝามาการอง
  • อัลมอนด์ป่น 300 กรัม
  • น้ำตาลไอซิ่ง 300 กรัม
  • ไข่ไก่ (ไข่ขาว) 110 กรัม
  • ผงชาเขียว 10 กรัม
อิตาเลียนเมอแรง
  • น้ำเปล่า 75 กรัม
  • น้ำตาลทราย 255 กรัม
  • ไข่ไก่ (ไข่ขาว) 110 กรัม
วิธีทำฝามาการอง

  1. ตัดถุงบีบ ใส่หัวบีบ แล้ววางแผ่นซิลิโคนบนถาดอบ เตรียมไว้
  2. ผสมอัลมอนด์ (ถ้าใช้ผงชาเขียวให้ใส่ตอนนี้ แล้วคนให้เข้ากัน) และน้ำตาลไอซิ่งเข้าด้วยกัน นำร่อนแล้วพักไว้
  3. ทำอิตาเลียนเมอแรงโดยใส่ไข่ขาวลงโถ แล้วเตรียมหัวตีรูปตะกร้อไว้
  4. เทลงในหม้อ ใส่น้ำตาลทรายลงไป รอจนน้ำซึมเข้าน้ำตาลให้ทั่ว นำไปตั้งไฟกลาง ต้มให้เดือด จากนั้นวางเทอร์โมนิเตอร์ลงในหม้อเพื่อวัดอุณภูมิ
  5. รอจนได้อุณภูมิ 115 องศาเซลเซียส ให้เปิดเครื่องตีไข่ขาวด้วยความเร็วต่ำ เตรียมไว้
  6. รอจนน้ำตาลเดือดที่อุณภูมิ 117 องศาเซลเซียส จึงยกลงเตา ค่อยๆ เทลงในโถ่ตีไข่ขาวจนหมด
  7. เร่งสปีดตีไข่ขาวที่ความเร็วสูงสุดจนตั้งยอดแข็ง แล้วพักไว้ให้คลายร้อน ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดจนได้อุณภูมิต่ำกว่า 50 องศา จึงนำไปใช้ได้
  8. ใส่สีผงชาเขียวลงในส่วนผสมอาหารลงในส่วนอัลมอนด์ที่ร่อนไว้ ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ใส่ไข่ขาวลงไป ใช้พายยางคนให้เข้ากัน
  9. แบ่งเมอแรงครึ่งหนึ่งใส่ลงไปแล้วใช้พายยางค่อยๆ ผสมให้เข้ากัน
  10. ใส่เมอแรงส่วนที่เหลือลงไป แล้วตะล่อมเบาๆ (ระวังอย่าคนแรง) ให้เข้ากัน พักไว้
  11. ตักส่วนผสมใส่ถุงบีบที่เตรียมไว้ (ระหว่างนี้ให้เปิดเตาอบอุณภูมิ 160 องศาเซียส ไฟบน-ล่าง เตรียมไว้)
  12. บีบมาการองลงในถาดรองแผ่นซิลิโคนให้ได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 3 เซนติเมตร และห่างกันประมาณ 3 เซนติเมตร
  13. เคาะถาดจากด้านล่างเบาๆ ให้ทั่วทั้งถาด เพื่อให้เส้นผ่านศูนย์กลางขยาขึ้นเป็น 4 เซนติเมตร วางพักไว้5-10  นาที
  14. ลดอุณภูมิเตาอบลงเหลือ 140 องศาเซลเซียส นำมาการองเข้าอบนาน 14 นาที
  15. นำฝามาการองออกจากเตา พักไว้ให้เย็น แล้วค่อยๆ แกะออกจากแผ่นซิลิโคน โดยหงายฝามาการองและขับคู่เรียงเตรียมไว้บนถาด พักไว้

ส่วนผสมไส้มาการอง
  • ไวท์ช็อกโกแลตชนิดเม็ด 300 กรัม
  • วิปปิ้งครีมชนิด Dairy 300 กรัม
  • ผงชาเขียว 20 กรัม
วิธีทำ

  1. ใส่ผงชาเขียวลงในอ่างผสม เตรียมไว้
  2. เทวิปปิ้งครีมใส่หม้อ นำไปตั้งไฟอ่อนรอให้เดือด ยกลงจากเตา
  3. แบ่งวิปปิ้งครีมออกมาทีละน้อย ใส่ลงชามผสมชาเขียว ใช้พายยางคนให้เข้ากัน ค่อยๆ เติมวิปปื้งครีมแล้วคนจนชาเขียวไม่จับตัวเป็นก้อน
  4. ใส่ไวท์ช็อกโกแลตลงในชามเซรามิกหรือพาสติกสำหรับเข้าไมโครเวฟ นำไปละลายในไมโครเวฟ (ความร้อนระดับสูงหรือประมาณ 600 วัตต์) นาน 1.5-2 นาที
  5. นำช็อกโกแลตที่ละลายที่ละลายแล้วออกจากเตาไมโครเวฟ เติมส่วนผสมชาเขียวทีละน้อย ใช้พายยางคนให้เข้ากัน พักไว้ให้หายร้อน แล้วนำไปแช่เย็น 1 ชั่วโมง
  6. นำไส้มาการองออกจากตู้เย็นใช้พายยางตีให้คลายตัว พักไว้
  7. จากนั้นก็บีบไส้มาการองลงบนฝาแล้วก็นำมาประกบกัน                                                                                                                                                                                                                                                      ที่มา                                                                                                                               http://food.mthai.com/food-recipe/92313.html